fbpx
skip to Main Content

รีวิว GoPro Hero 9 Black แบบลงลึก ทุกฟีเจอร์เด่นและความน่าสนใจในการเอาไปใช้

  • GoPro

รีวิว GoPro Hero 9 Black แบบลงลึก ทุกเมนู จุดเด่น และความน่าสนใจในการเอาไปใช้ ถ้าพูดถึงกล้องขนาดเล็กที่เหมาะกับการท่องเที่ยว เก่งทั้งการถ่ายภาพ วิดีโอ กันสั่นดี แล้วก็พกพาสะดวกด้วย ภาพในหัวหลายคนก็จะแว๊บขึ้นมาเป็นกล้อง Action Camera อย่าง GoPro แน่นอนเลย ใช่แล้วครับ วันนี้เราจะมารีวิวกล้อง GoPro ตัวที่ว่านี้กัน แล้วก็เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดด้วย ใช่แล้วครับ กล้องรุ่นนั้นคือ GoPro Hero 9 Black

ที่จริงรีวิวนี้ดึงข้อมูลมาจากส่วนที่ผมใช้ทำคอนเทนต์วิดีโอนะครับ ก็จะมีความละเอียดไม่สุดขนาดวิดีโอที่ผมทำ เดี๋ยวผมจะมีรีวิววิดีโอตามมาหลังจากคอนเทนต์นี้ สามารถรอติดตามแบบเจาะลึกได้ที่เพจ PhotoschoolThailand นะครับ แต่ในตอนนี้สามารถอ่านข้อมูลที่ผมสรุปมาให้ดูได้เลย

สเปคโดยรวมที่มีความน่าสนใจใน GoPro Hero 9 Black

สเปคโดยรวมของกล้องตัวนี้คือจะถ่ายวิดีโอได้ที่ 5K@30fps, 4K@30fps และยังถ่ายวิดีโอแบบ Full HD เฟรมเรตสูงได้ที่ 240 เฟรมต่อวินาที เอาไว้เวลาเราจะดึง Slow Motion คือแบบ ที่สุดเลยของกล้องตัวนี้

เรื่องการถ่ายภาพนิ่งกล้องตัวนี้ทำได้ 20 ล้านพิกเซล พร้อมโหมด Super Photo + HDR เลนส์ถูกใส่มาให้เราใช้อยู่ 4 ระยะ คือ SuperView, Wide, Linear, Narrow

ส่วนก็คือระบบกันสั่น HyperSmooth 3.0 + Boosted ทำให้นิ่งมาก ๆ แล้วก็กันน้ำได้ลึก 10 เมตร ระบบบันทึกเสียงก็ทำได้โดดเด่นกันเลย ในด้านบอดี้ ออกแบบให้กันน้ำได้ลึก 10 เมตรโดยที่ไม่ต้องใส่ชุดกันน้ำเลย และสามารถที่จะบันทึกเสียงคุณภาพสูง ใช้งานจริงได้โดยที่ไม่ต้องอาศัยไมโครโฟนจากภายนอก

ระบบเมนูต่าง ๆ ออกแบบมาให้เราใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม เดี๋ยวเราไปดูรีวิวเต็ม ๆ ในแต่ละส่วนแบบเจาะลึกกันครับว่าน่าสนใจตรงไหนบ้างและคุ้มไหมถ้าหากเราต้องการซื้อมาใช้งาน

การออกแบบและเมนูการใช้งาน

GoPro Hero 9 รุ่นนี้ยังออกแบบตามคาแรคเตอร์เดิมของทาง GoPro มีขนาดเล็กและอัพเกรดความสามารถเพิ่มขึ้นมาคือเรื่องการใช้งานที่สะดวกและความทนทาน เริ่มต้นจากส่วนด้านหน้าก่อนเลยเพราะถูกเปลี่ยนแปลงไปเยอะที่สุด นั่นคือมีหน้าจอ LCD ด้านหน้าที่ใช้เป็นจอ Selfie ได้ พร้อมกับบอกสถานะการตั้งค่าที่เราเลือกใช้ ทำให้เราสามารถถ่ายคลิปและถ่ายเซลฟี่ได้ง่ายมากขึ้น

ด้านบนจะมีปุ่มกดถ่ายวิดีโอ และเป็นปุ่มชัตเตอร์กล้องในตัว ขนาดใหญ่โดดเด่นมองเห็นได้ชัดเจน ทำให้เราจัดมุมมองตอนถ่ายคลิปหรือถ่ายเซลฟี่ได้ง่ายขึ้น ตรงจุดนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของ GoPro ที่ฟังเสียงผู้ใช้งานจากรุ่นก่อน ๆ ที่หลายคนเรียกร้องว่าอยากจะให้ GoPro มีกล้องหน้า ตอนนี้ก็มีแล้วนะ

ในส่วนด้านหลังที่เป็นจอ Monitor ด้านหลังมีพื้นที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อน ทำให้เราจัดมุมมอง ถ่ายภาพ และใช้งานได้อย่างสะดวกมากขึ้น 

ในส่วนด้านข้างฝั่งซ้ายมือจากด้านหลังจอก็จะมีปุ่ม Power สำหรับปิดเปิดเครื่อง ส่วนนี้ไม่มีอะไรมาก แค่ปุ่มนี้ปุ่มเดียว

ในส่วนฝั่งด้านขวามือจากจอด้านหลังจะเป็นพื้นที่ดูเรียบ ๆ ไม่มีอะไรแต่ถ้าสังเกตดูจะมีเหมือนฝาปิดที่เป็นตัวล็อคแบบสลักขนาดเล็ก ถ้าเราดึงสลักลงมา จะสามารถเปิดฝาด้านข้างได้ ซึ่งภายในฝาด้านข้างนี้จะมีช่องสำหรับใส่แบตเตอรี่ พอร์ต USB-C และที่ใส่ microSD Card ซึ่งตัวล็อกมีความเนี๊ยบ มิดชิดมากกว่าเดิม และสามารถที่จะกันน้ำได้ดีกว่าเดิมด้วย

ส่วนสุดท้ายคือด้านล่าง จะออกแบบให้เป็นที่ล็อคกับ Mount กับขาตั้งต่าง ๆ ได้ง่าย เวลาไม่ใช้ก็สามารถที่จะพับเก็บได้แบบเนี๊ยบ ๆ ซึ่งส่วนนี้ทำได้ดีตั้งแต่รุ่นก่อนแล้ว

ทางด้านไมโครโฟนก็ใส่มา 3 ตัวเช่นเคยคือด้านบน ด้านหน้า และด้านล่าง ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ บันทึกเสียงพูดได้คมชัดแม้ว่าเราจะไม่ได้ต่อไมโครโฟนแยกจากภายนอกก็ตาม

ระยะเลนส์ที่มีความน่าสนใจถึง 4 ระยะ ช่วยให้เราถ่ายวิดีโอได้มุมมองที่หลากหลายมากกว่าเดิม

เรามาดูส่วนของเลนส์กัน ซึ่งผมจะรีวิวให้เห็นถึงระยะที่มีมาให้ใช้ และจุดเด่นในการนำไปใช้งาน ซึ่งทาง GoPro ก็ออกแบบมาได้ดีและครอบคลุมสำหรับการถ่ายคลิปวิดีโอครับ

1. เลนส์ระยะ SuperView  (16mm)

ระยะกว้างสุด 16mm เป็นมุมมองที่กว้างที่สุด ขอบโค้งเล็กน้อย มุมนี้เหมาะกับการถ่ายคลิปและภาพนิ่ง ที่เราต้องการเล่าเรื่องให้ตื่นเต้น และด้วยมุมมองที่กว้างเป็นพิเศษทำให้เราสามารถเล่ารายละเอียดทุกอย่างไว้ในคลิปได้ทันที

2. เลนส์ระยะ Wide (16-34mm)

ระยะนี้จะให้มุมมอง 16-34mm ซึ่งจะเป็นมุมมองที่แคบลงมาจาก SuperView แต่ให้มุมที่แคบลงมาอีกหน่อย จุดเด่นของมุมนี้คือ เขาจะซูมระยะให้เข้ามาอีก คนพูดจะถูกเน้นมากขึ้น และก็ยังให้ความกว้างของฉากหลังอยู่ เรียกได้ว่าระยะ Wide ผมใช้ค่อนข้างบ่อย เพราะทำให้เราเก็บมุมกว้าง ๆ ได้และขอบภาพไม่โค้งจนเกินไป

3. เลนส์ระยะ Linear (19-39mm)

ระยะนี้จะให้มุมมองประมาณ 19-39mm ซึ่งจุดเด่นของระยะนี้จะเน้นคนพูดเป็นหลัก ระยะจะถูกซูมเข้ามาอีกหน่อยนึง ขอบโค้งที่เคยมีในระยะ SuperView และ Wide ก็หายไปด้วย ทำให้เหมาะกับการถ่ายคลิปแบบเป็นทางการมากขึ้น เช่น ซีนเปิดที่ต้องยืนพูด หรือการถ่ายเจาะเก็บบรรยากาศรอบ ๆ ที่ให้ความรู้สึกสบาย ๆ ไม่รู้สึกว่ามุมมันดูห่างเกินไป ระยะ Linear ผมใช้ค่อนข้างบ่อยเวลาที่เราจะถ่ายเก็บบรรยากาศและเน้นความจริงจังมากกว่าเดิม

4. เลนส์ระยะ Narrow (27mm)

ระยะนี้จะให้มุมมอง 27mm ก็เป็นระยะที่แคบสุดสำหรับกล้อง GoPro Hero 9 Black เป็นมุมมองที่เน้นเจาะคนพูด หรือกิจกรรมอย่างชัดเจนมากขึ้น ก็ถ้าต้องรีวิวสินค้า ของกิน แล้วอยากเน้นมุมใกล้ ๆ ก็ใช้มุมกล้องนี้ได้เลย

สรุปก็คือ GoPro Hero 9 Black นั้นได้ให้มุมมองมาครบทุกแบบสำหรับการถ่ายคลิปวิดีโอ ผมคอนเฟิร์มเลยว่าเรื่องมุมกล้องให้มาครบมากพอสำหรับคนถ่ายคลิปแบบมือสมัครเล่นไปจนถึงคนที่เป็นมือโปรกันเลย

ความสามารถด้านการถ่ายวิดีโอ

สิ่งที่เราให้ความสนใจมากที่สุดสำหรับกล้องตัวนี้คือเรื่องการถ่ายวิดีโอครับ ซึ่งในรีวิวนี้เราจะลงลึกกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษเพราะเป็น GoPro Hero 9 Black รุ่นนี้แล้ว เราต้องโฟกัสเรื่องนี้กันให้สุด เพื่อทุกท่านที่ดูรีวิวในตอนนี้จะได้ตัดสินใจได้ว่า กล้องตัวนี้เหมาะกับการถ่ายวิดีโอแค่ไหน

ความละเอียดสูงสุดในการถ่ายวิดีโอคือ 5K ที่เฟรมเรต 30 เฟรมต่อวินาที ให้ความละเอียดที่มากเกินพอสำหรับคนทำงานสายวิดีโอ ซึ่งโดยปกติวิดีโอที่เราใช้กันบน YouTube เราก็ใช้ความละเอียด Full HD เป็นหลัก ส่วน 4K ก็เริ่มมีบ้างแต่ก็ยังไม่แพร่หลายนัก แต่ทาง GoPro Hero 9 Black ใส่สเปคมาให้เกินเลย คือ 5K

สำหรับคนที่อยากได้ Footage 4K แบบลื่นไหลหน่อย ก็ยังถ่ายวิดีโอแบบ 4K ได้ที่ 60 เฟรมต่อวินาที เพราะงั้นให้เฟรมที่ลื่น หรือบางคนจะเอามาประยุกต์คือถ่าย 4K มาเผื่อครอปและใช้เฟรมเรตที่ 60 เฟรมมาดึง Slow Motion ได้บ้าง

แต่สำหรับคนที่อยากจะถ่ายวิดีโอแบบ Frame Rate สูงแบบสุด ๆ เอามาดึง Slow Motion ด้วย เรายังสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด Full HD ที่ 240 เฟรมเรต อันนี้เหมาะกับการเอามาถ่าย Footage Slow Motion แบบ Dramatic ได้เลย ซึ่งช่วยให้เราได้คุณภาพวิดีโอที่สูง แล้วก็ยังได้เฟรมเรตมาไว้ตัดต่อได้อีกเพียบเลย

สรุปในเรื่องของความสามารถในโหมดวิดีโอ คือจัดเต็มมาก แล้วก็เหมาะสำหรับคนทำคอนเทนต์สายวิดีโอแบบจริงจัง ตอบโจทย์งานแทบจะทุกแบบเลยครับ

ลองถ่ายวิดีโอย้อนแสงแล้วแบบ รายละเอียดใต้ใบไม้ยังชัดเจนเลยจ้า

ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจคือ การเลือกตั้งค่าแบบพรีเซ็ต

ความสามารถเด่นที่ผมรู้สึกส่วนตัวลึก ๆ ว่ามันว๊าวมากคือ การถ่ายวิดีโอเราสามารถเลือกตั้งค่าเป็นพรีเซ็ตแยกได้ ยกตัวอย่างเช่น ผมจะถ่ายคลิปหลักเป็นแบบ Cinematic ผมก็เซ็ตพรีเซ็ตเป็นแบบที่ผมต้องการไว้ แล้วตั้งชื่อเป็น Cinematic

จากนั้นเวลาที่ผมต้องการถ่ายคลิปหลัก ผมก็เลือกที่พรีเซ็ต Cinematic ได้เลย หรือถ้าจะถ่าย Slow Motion ผมก็เลือกสร้างพรีเซ็ตใหม่ แล้วก็เซ็ตทุกอย่างให้เป็นแบบ Slow Motion แบบที่ต้องการ เวลาที่เราต้อการถ่าย Slow Motion เราไม่ต้องมาสลับตั้งค่าใหม่ให้ปวดหัว เราเลือกพรีเซ็ตที่ชอบได้เลย ทุกอย่างจบ

ความสามารถนี้ผมรับประกันเลยว่าช่วยให้ชีวิตของคนถ่ายวิดีโอแบบจริงจังสบายมากขึ้นแบบสุด ๆ เพราะประหยัดทั้งเวลา แล้วไม่ต้องปวดสมองมาปรับตั้งค่าบ่อย ๆ ให้เสียเวลาชีวิต

โปรไฟล์การ Grading สีสำหรับงานวิดีโอ

งานจริงจังที่เราต้องเน้นคุณภาพสีของวิดีโอเมื่อถ่ายคลิปมาแล้วอยากได้ไฟล์ที่ใช้ในการ Grading ได้สวย ๆ เราสามารถเลือกโปรไฟล์สีแบบ Flat ได้ โดยโปรไฟล์สีแบบนี้จะถูกปรับให้จืดลง เพื่อให้ไฟล์มีความสามารถสำหรับการใช้ตกแต่งในขั้นตอนตัดต่อได้ดีที่สุด

แต่ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ใช้แบบทั่วไป เราสามารถเลือกที่จะใช้โปรไฟล์สีแบบ GoPro ได้เหมือนกัน สีสันก็จะสวย มีความจัดจ้างสไตล์ GoPro เลย ซึ่งคนที่ไม่เก่งเรื่องทำสีในคลิปก็ได้สีสันที่โดดเด่นแน่นอนครับ

Looping Video Modes

โหมดต่อไปคือ Looping Video Modes คือโหมดที่ตัววิดีโอแบบลูป เหมือนกล้องติดรถยนต์ เขาจะให้เราทำการบันทึกแบบวนลูปไปเรื่อย ๆ เช่น ตั้งค่าลูปไว้ 5 นาที ตัววิดีโอจะถูกบันทึกเป็นไฟล์แยกทุก 1 นาที เมื่อเข้านาทีที่ 6 ตัววิดีโอจะบันทึกซ้ำไฟล์ลูปก่อนหน้าไป เพื่อประหยัดพื้นที่ครับ

ฟีเจอร์ Slow Motion

ทีนี้เรามาเจาะและอธิบายของเรื่องโหมด Slow Motion กันบ้างดีกว่า ซึ่งความสามารถในการถ่าย Slow Motion ของ GoPro Hero 9 Black นั้นจะถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion ได้ 8 เท่า ถ้านับเป็นเฟรมเรตก็คือ 240 เฟรมเลยทีเดียว แล้วความละเอียดยังได้ระดับ Full HD 

Timelapse & TimeWarp

โหมดต่อมาที่สร้างความน่าสนใจมาได้ตลอดเลยคือ TimeWarp และ TimeLapse ทั้งสองโหมดนี้จะเป็นการถ่ายคลิปแบบเร่งเวลา แต่ความแตกต่างทั้งสองโหมดนี้คือ TimeLapse จะเน้นใช้อยู่กับที่ ตั้งกับขาตั้ง ไม่มีการเคลื่อนไหว ช่วยให้คลิปของเราสื่อสารเรื่องอารมณ์ ความโดดเด่นของสถานที่ ช่วงเวลา

ในส่วนของ TimeWarp จะเป็นเหมือนโหมด HyperLapse คือเน้นการเร่งเวลาแต่จะมีการเคลื่อนไหวของมุมกล้องไปด้วย ช่วยให้เราได้ Footage ที่เน้นความตื่นเต้น เห็นการเคลื่อนไหวของมุมกล้องและสถานที่ไปในตัว

ทั้งสองโหมดนี้เราสามารถเปิดใช้ได้ง่าย ๆ แล้วก็เลือกปรับว่าอยากจะให้มันเร่งเวลาระดับไหน ถ้ายิ่งเลือกช่วงเวลาของการเก็บ Footage ที่ห่างกัน เราจะรู้สึกถึงช่วงเวลาที่เร่งเร็วมาก ๆ แต่ถ้าหากต้องการเร่งแบบพอดี ๆ ก็เลือกในระดับเริ่มต้น ไม่ต้องเร่งเร็วมาก ก็จะช่วยให้เราได้ Footage ที่สวยงามและถ่ายง่ายนั่นเองครับ

ความสามารถในการบันทึกเสียง

สิ่งสำคัญสำหรับการทำคอนเทนต์วิดีโอซึ่งขาดไม่ได้เลยก็คือเรื่องของเสียง ซึ่ง GoPro Hero 9 Black ตัวนี้จะใส่ไมโครโฟนคุณภาพสูงไว้ถึง 3 ตัว ซึ่งจะเก็บมิติเสียงด้านหน้าและรอบข้างของกล้องเราทั้งหมด ซึ่งถ้าหากว่าเราต้องการพูดในคลิป หรือว่าถ่ายวิดีโอเพื่อเก็บบรรยากาศของเสียงโดยรอบ ไมโครโฟนสามารถเก็บรายละเอียดของเสียงได้ดีเลย สามารถนำคลิปมาตัดต่อในงานรีวิว หรือทำคอนเทนต์ท่องเที่ยวก็ยังได้เลย

ระบบกันสั่น HyperSmooth

ระบบกันสั่นของ GoPro Hero 9 Black นี่ถ้าไม่พูดถึงคงไม่ได้แน่นอน เพราะกล้องรุ่นนี้โดดเด่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเรื่องระบบกันสั่นที่ต้องเป็นที่ 1 ของกล้อง Action Camera ทุกแบรนด์ ซึ่งรุ่นนี้มีการอัพเกรดเป็นระบบกันสั่น HyperSmooth 3.0 ซึ่งจะกันสั่นนิ่งเข้าไปอีกแล้วก็ยังมีโหมด Boosted ที่จะช่วยให้ระบบกันสั่นนิ่งกว่าเดิมด้วย

ซึ่งจากการทดสอบใช้งานมา ไม่ว่าจะวิ่ง ขึ้นบันได เดินถ่าย Footage กล้องตัวนี้คือสบายใจหายห่วง ที่จริงผมรู้สึกว่ามันดีมาตั้งแต่รุ่นก่อนหน้าแบบสุด ๆ แล้วครับ รุ่นนี้ทำได้ดีขึ้นก็คงแบบไม่ได้คาใจอะไร เพราะว่ารุ่นก่อนก็ดีสุดยอดมากอยู่แล้ว เพราะงั้นถ้าจะถ่ายคลิปหรือถ่ายวิดีโอแบบ Extreme ก็มาเถอะ ระบบกันสั่นแบบนี้เอาอยู่แน่นอนครับ

การถ่ายภาพนิ่ง

แล้วก็มาถึงการรีวิวเรื่องภาพนิ่งกันบ้าง ถ้าจะไม่พูดเลยก็คงไม่ได้แหละ ซึ่ง GoPro Hero 9 Black รุ่นนี้มีการอัพความละเอียดของกล้องให้สามารถถ่ายภาพเพิ่มเป็น 20 ล้านพิกเซล พร้อมโหมด Super Photo HDR รองรับการถ่ายไฟล์ RAW ด้วย

โดยส่วนตัวผมใช้ GoPro รุ่นก่อนหน้านี้โหมด Super Photo HDR ทำงานได้ดีมากสำหรับการถ่ายภาพนิ่งครับ พอมาอยู่ใน GoPro Hero 9 Black แน่นอนว่าเก็บรายละเอียดได้ดีมากขึ้น ขนาดของภาพใหญ่ขึ้น เวลาเราถ่ายภาพเล่นกับแสงหรือย้อนแสงเยอะหน่อย ก็สามารถที่จะเก็บแสง รายละเอียดเงาได้เป็นอย่างดี แล้วก็พื้นที่ส่วนมืดเราเห็นรายละเอียดเยอะขึ้น

หรือถ้าใครต้องการถ่ายภาพเพื่องานคุณภาพสูง ๆ เอามาโปรเซสเอง เราสามารถที่จะถ่ายภาพเป็น RAW File แล้วมาตกแต่งด้วย Adobe Lightroom ได้สบายมาก ซึ่งความยืดหยุ่นของไฟล์ก็ทำได้ดีมากครับ เราสามารถที่จะใช้ไฟล์ภาพสำหรับงานคุณภาพสูงได้เลย

ความสามารถในการถ่ายใต้น้ำ

เรื่องของ Waterproof หรือการการใช้งานใต้น้ำ เรียกว่าสายดำน้ำเลยดีกว่า เราสามารถเอาลงน้ำได้ 10 เมตร แบบที่ไม่ต้องมี Housing กันเลย ซึ่งรุ่นนี้ก็ทำได้ดีมากครับ เหมาะกับคนที่อยากจะเที่ยวแล้วเอาลงน้ำก็ลงได้สบาย ซึ่ง GoPro ทำเรื่องนี้ได้ดีมากอยู่แล้ว (ในรีวิวนี้ผมไม่ได้เอาไปลงน้ำจริง เพราะยังไม่มีเวลาออกต่างจังหวัดครับ)

โหมดพิเศษที่หลายคนไม่เคยสังเกตคือ Pro Tune ที่จะซ่อนอยู่ในเซ็ตติ้งของโหมดภาพนิ่งและวิดีโอ ซึ่งผมในโหมดวิดีโอเราสามารถเลือก Bit Rate ของไฟล์เป็นแบบสูงสุดได้ ซึ่งเราต้องมาเปิดนะ เพราะคนทั่วไปเขาจะมีบิตเรตที่แบบใช้งานได้ดีแล้วไม่กินพื้นที่เยอะ แต่ถ้าเราเปิดแบบสูงสุดเราจะได้ไฟล์คุณภาพสูงที่สุดของกล้องตัวนี้มาใช้นั่นเองครับ

โดยโหมด ProTune เราสามารถเลือกได้ตั้งแต่ Bit Rate, Shutter Speed, การชดเชยแสง, ค่าไวท์บาลานซ์, ISO, ความคมชัด สี, การบันทึกเสียงคุณภาพสูง, โหมดเสียงแบบลดทอนเสียงลมแทรก ทุกอย่างนี้อยู่ในโหมดโปรจูน แนะนำให้ทำความรู้จักไว้นะครับ เป็นประโยชน์แน่นอน

กล้อง Action Camera ยังน่าสนใจมากแค่ไหน ถ้าคนที่กำลังสนใจเกี่ยวกับกล้อง Action Camera ในช่วงนี้

สำหรับคนที่กำลังคิด ๆ อยู่ว่ากล้อง Action Camera ในตอนนี้ยังน่าสนใจหรือเปล่า หรือเราจะมองกล้องที่จริงจังกว่านี้แทน ลองดูมุมนี้ที่ผมจะเล่าให้ฟังดูนะครับ ถ้าจะให้พูดถึงกิจกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งเราเน้นเที่ยวเป็นหลัก เราต้องการความสนุก อยากจะถ่ายรูปง่าย ๆ แถมแอบคาดหวังว่าภาพต้องสวยคุณภาพดี น่าตื่นเต้น

แถมบางครั้งอยากจะได้ความสะดวกในการถ่ายวิดีโอแบบง่าย ๆ แบบหยิบขึ้นมาถ่ายเลย ได้ไฟล์ที่ดีระดับกล้องมืออาชีพ แล้วมีกันสั่นนิ่ง ๆ ในตัวมีขนาดเล็ก ตอนนี้บทบาทของกล้อง Action Camera ยังตอบโจทย์ตรงส่วนนี้ได้ดีมาก ๆ อยู่อีกนานครับ

สำหรับคนที่อยากเป็นเจ้าของสามารถสอบถามได้ที่ Lnwgadget ครับ ราคา 15,999 บาท สินค้าประกันศูนย์ สั่งซื้อได้ที่นี่เลย

×Close search
Search