วิธีเลือกซื้อกล่อง Live Stream สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น ซื้อแบบไหนไม่ให้พลาด มือใหม่ที่อยากจะเริ่มไลฟ์และกำลังตัดสินใจซื้อกล่อง Live Stream หรืออีกชื่อนึงที่เราเรียกกันคือ Capture Card นั้น ผมเชื่อว่าหลายคนต้องมีปัญหาแน่ว่าเราควรจะเลือกซื้อยังไงให้เหมาะกับงานของเรา เดี๋ยวเราไปเริ่มต้นดูทีละจุดกันก่อนเลย
วิธีเลือกซื้อกล่อง Live Stream สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น ซื้อแบบไหนไม่ให้พลาด
1. เลือกกล่อง Live Stream ที่มีค่าความละเอียดตรงกับงานที่เราจะใช้ และมี Framerate ที่ตรงกับงานที่เราใช้ด้วย
ความสามารถแรกที่เราควรดูเลยถ้าหากว่าเราต้องการซื้อกล่อง Live มาใช้งานก็คือเรื่องของความละเอียดของวิดีโอ ซึ่งควรเลือกแบบ Full HD หรือว่า 4K ขึ้นไป แต่แนะนำว่าถ้าหากเรามีงบจำกัดเราเลือกแค่ Full HD ก็ได้ครับ เพราะความละเอียดระดับนี้เราสามารถเอาไปใช้บนสื่อทั้ง YouTube, Facebook ได้สบายอยู่แล้ว แต่ถ้าใครมีงบเยอะสุดเราสามารถที่จะเลือกแบบ 4K ก็ได้ครับ
นอกจากนี้เรื่องของ Framerate ที่ได้จาก Capture Card หรือกล่อง live นั้นก็ควรจะตรงกันกับที่เราใช้ เช่น การทำรายการก็ควรจะ 30 เฟรม ส่วน Game Streamer ควรจะสัก 60 เฟรมเป็นต้นครับ แต่สำหรับกลุ่ม Stereamer นั้นผมขอให้อ่านข้อถัดไปเพราะมีรายละเอียดที่ผมเจาะจงมากกว่าครับ
2. สำหรับคนที่เป็น Streamer เกมส์ต่าง ๆ ควรเลือกกล่อง Live แบรนด์ที่ผลิตเพื่อ Gamer เท่านั้น จะได้ประสิทธิภาพที่ค่อนข้างดีกว่าในงบเท่ากัน
เรื่องของแบรนด์หลายคนอาจจะสงสัยว่าเกี่ยวด้วยเหรอ ต้องบอกว่าเกี่ยวครับ เพราะว่าแบรนด์ที่เจาะตลาดกลุ่ม Streamer จะมีความเข้าใจดีกว่า Capture Card สำหรับ Gamer ต้องทำงานอย่างไร ถึงจะสามารถส่งต่อประสบการณ์ของการเล่นเกมส์ที่ Streamer เห็น และสามารถส่งไปให้ทางบ้านได้
กล่อง Live แบรนด์ที่ทำด้าน Game Streamer ก็จะมี Elgato, Avermedia, MOKOSE ซึ่งสามแบรนด์นี้มีการออกแบบมาสำหรับคนเล่นเกมส์เลย และสามารถที่จะส่งเฟรมเรตสูง ๆ เพื่อให้การเล่นเกมส์นั้นได้อรรถรส ทางบ้านสามารถรับชมได้อย่างเต็มอิ่มเลย
3. สำหรับคนที่ทำรายการ ควรเลือกกล่อง Live ที่รองรับกล้องหลายตัวพร้อมกัน และสามารถตัดสลับกล้องได้จบในตัว เพื่อให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทีนี้เรามาดูเรื่องของคนที่ทำรายการกันบ้าง ลักษณะของการ Live ที่เป็นรายการนั้นมักจะต้องใช้งานมุมกล้องมากกว่าหนึ่งมุม ต้องทำงานร่วมกับกล้องหลายตัว นั่นคือเรื่องที่เราควรจะให้ความสำคัญกับกล่อง Live อย่างมาก เพราะว่าเป็นตัวกำหนดต้นทุนและรูปแบบการทำงานของเราได้เลย
สำหรับผมแนะนำควรเลือกกล่อง Live ของ Blackmagic ATEM mini และ Blackmagic ATEM mini Pro ไปเลย เพราะว่าด้วยกล่อง Live เพียงตัวเดียวก็สามารถที่จะรับกล้องได้มากถึง 4 ตัว ทำให้เราประหยัดงบในการซื้อกล่อง Live แยกหลาย ๆ ตัว ซึ่งต้นทุนจะสูงกว่า
นอกจากนี้การใช้กล่อง Live แยกกันหลาย ๆ ตัว เวลาต่อไปที่เครื่อง Laptop ของเรา เขาต้องรับข้อมูลมหาศาลพร้อม ๆ กัน ทำให้การจัดการ การส่งข้อมูลเครื่องก็ควรจะแรงขึ้นด้วย
แต่ในกรณีที่เราใช้กล่อง Live เฉพาะทางอย่าง Blackmagic ATEM mini หรือ Blackmagic ATEM mini Pro นั้นก็สามารถที่จะตัดสลับสัญญาณจากตัวอุปกรณ์ได้เลย โดยที่ไม่เป็นภาระเครื่อง Laptop ของเรา อีกทั้งยังประหยัดงบประมาณในการลงทุนเรื่อง Capture Card อีกด้วย
4. ควรเลือกกล่อง Live ที่รองรับระบบปฏิบัติการทั้ง Windows และ Mac
ต่อมาคือเรื่องของระบบปฏิบัติการนั้น ผมแนะนำว่าควรเลือกกล่อง Live ที่สามารถทำงานได้ทั้งสองระบบ เพื่อให้เราสามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ ลองสังเกตที่สเปคกล่อง Live ครับ เขาจะต้องรองรับทั้งสองระบบนี้
5. เลือกซื้อกล่อง Live ที่มีศูนย์บริการในประเทศไทย
สิ่งสำคัญสุดท้ายคือที่พึ่งทั้งบริการก่อนและหลังการขาย ควรเลือกซื้อกับผู้จัดจำหน่ายที่มีศูนย์บริการ กรณีที่เรามีปัญหาก็ต้องพร้อมที่จะให้คำตอบสำหรับเราได้ เพราะว่าเรื่อง Live ยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับใครหลายคน ดังนั้นการเลือกตัดสินใจซื้อกับร้านที่เข้าใจอุปกรณ์จริง ๆ จะช่วยลดปัญหาหน้างานได้เยอะมาก และทำให้เราสามารถจบการ Live ได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น
